ELIO ENERGY COMPANY

LIMITED

จำหน่ายแอร์ Carrier (ส่งฟรีทั่วประเทศ) โทร. 098-395-3084 , 095-951-9924

ELIO ENERGY COMPANY LIMITED

จำหน่ายแอร์ Carrier (ส่งฟรีทั่วประเทศ)

โทร. 098-395-3084 , 095-951-9924

ขนาด BTU แอร์เท่ากัน แต่ทำไมประหยัดไฟกว่า

ในสภาพอากาศประเทศไทยเรา แอร์เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับหลายบ้าน อย่างไรก็ตามการเปิดแอร์สามารถส่งผลต่อค่าไฟฟ้าของคุณได้อย่างมาก เพื่อป้องกันปัญหาค่าไฟแพง สิ่งสำคัญคือต้องเลือกแอร์ที่ประหยัดพลังงานไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณเย็นสบาย แต่ยังช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าอีกด้วย และเราจะรู้ได้ยังไงแอร์รุ่นไหนประหยัดไฟกว่า มีวิธีเลือกแอร์ให้ประหยัดไฟดังนี้

 เคล็ดลับในการเลือกแอร์แบบประหยัดไฟ

  1. ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 

เราสามารถดูได้จากฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ของแอร์ ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานตามที่ กฟผ. และกระทรวงพลังงานกำหนด โดยจะมีค่าประสิทธิภาพ (EER) แสดงอยู่ โดยฉลากประหยัดไฟ จะมี 4 ระดับและเบอร์ 5 คือระดับที่ประหยัดไฟมากที่สุด 

ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ของแอร์จะมี 4 ระดับ ดังนี้

เบอร์ 5 ดาว : ประหยัดไฟมากที่สุด

เบอร์ 4 ดาว : ประหยัดไฟปานกลาง

เบอร์ 3 ดาว : ประหยัดไฟน้อย

เบอร์ 2 ดาว : ประหยัดไฟน้อยที่สุด

ค่าประสิทธิภาพ (EER) คืออะไร ?

ย่อมาจาก Energy Efficiency Ratio คือ อัตราส่วนระหว่างปริมาณความเย็นที่เครื่องปรับอากาศสามารถทำได้ (Output) กับกำลังไฟฟ้าที่เครื่องปรับอากาศใช้ในการทำความเย็น (Input) โดยค่า EER จะแสดงอยู่ในหน่วย BTU/hr ต่อ วัตต์ (BTU/hr/W)

ค่า EER ของแอร์ยิ่งสูงยิ่งประหยัดไฟ ตัวอย่างเช่น แอร์ที่มีค่า EER 10 หน่วย จะหมายถึงแอร์ 1 เครื่อง สามารถทำความเย็นได้ 10 หน่วยความร้อน (BTU) โดยใช้พลังงานไฟฟ้า 1 หน่วย (กิโลวัตต์-ชั่วโมง)

  1. ระบบการทำงานช่วยประหยัดไฟ

ระบบแอร์ที่สามารถทำความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน โดยอาศัยเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยควบคุมการทำงานของแอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยระบบแอร์ประหยัดไฟที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีดังนี้

  • ระบบ Inverter

การทำงานของแอร์ระบบ Inverter แตกต่างจากแอร์แบบเดิมตรงที่แอร์แบบเดิมคือคอมเพรสเซอร์จะหยุดทำงานทันที เมื่ออุณหภูมิห้องถึงระดับที่ตั้งไว้ และจากนั้นเมื่ออุณหภูมิห้องสูงขึ้นกว่าระดับที่ตั้งไว้ คอมเพรสเซอร์จะกลับมาทำงานใหม่ โดยจะทำให้แอร์กินไฟมาก เนื่องจากคอมเพรสเซอร์จะต้องทำงานหนักในการทำความเย็นห้องให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่แอร์ Inverter จะทำงานตามอุณหภูมิของห้อง เมื่ออุณหภูมิห้องถึงระดับที่ตั้งไว้แล้วคอมเพรสเซอร์จะลดความเร็วรอบลงเพื่อให้อุณหภูมิห้องคงที่ ซึ่งการทำงานแบบนี้จะช่วยให้แอร์กินไฟน้อยลง เนื่องจากคอมเพรสเซอร์ไม่ต้องทำงานหนักในการทำความเย็นห้องให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว

  1. เลือกแอร์ที่มีขนาด BTU เหมาะสมกับห้อง

ค่า BTU ของแอร์ คือ หน่วยวัดปริมาณความเย็นที่เครื่องปรับอากาศสามารถทำความเย็นได้ โดยค่า BTU ยิ่งสูง ความสามารถในการทำความเย็นก็จะยิ่งมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเลือกแอร์ที่มีค่า BTU สูงเกินไปก็อาจทำให้สิ้นเปลืองพลังงานได้เช่นกัน หากเลือกแอร์ที่มีขนาด BTU เหมาะสมกับห้องจะช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานได้มากที่สุด 

ปัจจัยที่ควรคำนึงในการเลือกขนาด BTU แอร์

  • ทิศทางและระดับของแสงแดด

ห้องที่มีแสงแดดส่องถึงโดยตรงจะต้องการ BTU มากกว่าห้องที่มีแสงแดดส่องถึงน้อย

  • วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง

ห้องที่ผนังและหลังคามีฉนวนกันความร้อนที่ดีจะต้องการ BTU น้อยกว่าห้องที่มีฉนวนกันความร้อนไม่ดี

  • เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งภายในห้อง

เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งภายในห้องที่มีขนาดใหญ่และหนาแน่นจะกักเก็บความร้อนไว้ได้มากกว่า ทำให้ห้องเย็นช้าและต้องการ BTU มากกว่า

  • ความต้องการใช้งาน

หากต้องการใช้แอร์เพื่อทำความเย็นห้องอย่างรวดเร็วหรือต้องการทำความเย็นหลายห้องพร้อมกัน อาจต้องเลือกแอร์ที่มี BTU สูง

สูตรการคำนวณค่า BTU  

ความกว้าง(เมตร) x ความยาว(เมตร) x ค่าตัวแปร

ซึ่งโดยประมาณค่าตัวแปรของแต่ห้องมีดังนี้

800 – 900 : สำหรับห้องนอน หรือห้องที่มีความร้อนน้อยโดนแดดเล็กน้อย

900 – 1,000 : สำหรับห้องรับแขก หรือห้องที่มีความร้อนปานกลาง – มาก

1000 – 1200 : สำหรับห้องออกกำลังกาย ห้องทำงาน หรือห้องที่มีความร้อนมาก

1200 หรือมากกว่า : สำหรับร้านค้า ร้านอาหาร หรือห้องที่มีการเปิด – ปิดประตูบ่อย สำนักงาน


ตัวอย่างเช่น : กว้าง 3.5 เมตร  X ยาว 3.7 เมตร  X ตัวแปร 800 = 10,360 BTU