ELIO ENERGY COMPANY

LIMITED

จำหน่ายแอร์ Carrier (ส่งฟรีทั่วประเทศ) โทร. 098-395-3084 , 095-951-9924

ELIO ENERGY COMPANY LIMITED

จำหน่ายแอร์ Carrier (ส่งฟรีทั่วประเทศ)

โทร. 098-395-3084 , 095-951-9924

รู้ไว้ดีกว่า 10 สิ่งที่ต้องรู้เรื่องแอร์

รู้ไว้ดีกว่า 10 สิ่งที่ต้องรู้เรื่องแอร์

รู้ไว้ดีกว่า 10 สิ่งที่ต้องรู้เรื่องแอร์

เคยเจอไหม ? เมื่อต้องไปซื้อแอร์หรือจะซ่อมแอร์ ต้องคุยกับพนักงานหรือช่างแอร์ แต่ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร และไม่รู้ต้องเลือกซื้อแอร์อย่างไรให้เหมาะสมกับความต้องการของเรา การรู้จักศัพท์ที่เกี่ยวกับแอร์ไว้ก่อนก็ดีต่อการสื่อสารและเข้าใจการทำงานของแอร์มากขึ้นอีกด้วย มีอะไรที่ต้องรู้ไว้บ้าง ไปทำความรู้จักกันเลย

สิ่งที่ต้องรู้จักเกี่ยวกับแอร์

  1. BTU (British Thermal Units)

เป็นหน่วยวัดค่าพลังงานความร้อนตามมาตรฐานสากล เมื่อนำมาใช้ในส่วนของเครื่องปรับอากาศ จะมีหมายถึงความสามารถในการทำความเย็น ถ่ายเทความร้อนออกจากห้องภายในเวลา 1 ชั่วโมง โดยคำนวณเป็น ความร้อน 1 BTU เท่ากับ ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 ปอนด์ มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาฟาเรนไฮต์ ยิ่งตัวเลข BTU เยอะก็แสดงว่าแอร์เครื่องนั้นทำความเย็นได้มาก

  1. คอยล์ (Coil)

ชิ้นส่วนที่เชื่อมต่อกับคอมเพรสเซอร์ มีหน้าที่ให้น้ำยาแอร์ไหลผ่านและแลกเปลี่ยนความร้อน ให้เกิดเป็นระบบหมุนเวียนภายใน ปล่อยความเย็นสู่ห้องของเราและนำความร้อนออกสู่ภายนอก ซึ่งคอยล์ที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ คอยล์ร้อนและคอยล์เย็นซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกัน

  • คอยล์เย็น (Condenser)

คอยล์เย็นเป็นส่วนประกอบหลักของระบบทําความเย็น ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนความร้อน เมื่ออากาศร้อนไหลผ่านแผงคอยล์เย็นก็จะได้ความเย็นออกมา สารทำความเย็นภายในคอยล์เย็นจะเดือดเปลี่ยนสถานะเป็นแก๊ส เมื่อได้รับความร้อนเข้ามา และไหลเวียนกลับไปที่คอมเพลสเซอร์

  • คอยล์ร้อน (Evaporator)

คอยล์ร้อนหรือ คอนเดนเซอร์ เป็นส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศที่สำคัญมากอีกตัวหนึ่ง ทำหน้าที่ทำให้สารทำความเย็นเปลี่ยนสถานะจากไอเป็นของเหลวโดยการควบแน่น ที่มีแรงอัดจากคอมเพลสเซอร์ ใช้พัดลมดูดอากาศบริเวณโดยรอบมาระบายความร้อนให้กับสารทำความเย็น

  1. คอมเพรสเซอร์ (Compressor)

เป็นอุปกรณ์หลักที่สำคัญอันหนึ่งของระบบทำความเย็น คอมเพรสเซอร์ทำหน้าที่อัดสารทำความเย็นหรือที่เราเรียกว่าน้ำยาแอร์ส่งไปยังส่วนควบแน่นที่มีแรงดันสูงหรือคอนเดนเซอร์คอยล์ โดยคอมเพรสเซอร์จะอัดแรงดันสารทำความเย็นที่มีสถานะเป็นก๊าซ และในอีกด้านของการทำงานของคอมเพรสเซอร์ จะทำหน้าที่ดูดสารทำความเย็นที่มีสถานะที่เป็นก๊าซจากการแลกเปลี่ยนความร้อนของคอยล์เย็น กลับเข้ามาหมุนเวียนเพื่อเริ่มต้นกระบวนการอีกครั้ง

  1. สารทำความเย็น (Refrigerant)

สารทำความเย็นหรือน้ำยาแอร์ เป็นตัวกลางในการทำความเย็นทำหน้าที่รับ ดูดซับ และนำพาความร้อน เพื่อให้เกิดการขยายตัว หรือมีการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวให้กลายเป็นไอหรือแก๊ส และเมื่อกลายเป็นไอแก๊สแล้ว จะสามารถคืนตัวเปลี่ยนสถานะกลายเป็นของเหลวได้อีกครั้ง

  1. เทคโนโลยีระบบ Inverter

ระบบควบคุมไฟฟ้ามีหน้าที่ปรับสมดุลของอากาศภายในห้อง เมื่อถึงอุณหภูมิที่ต้องการคอมเพรสเซอร์ก็ยังคงทำงานต่อไป โดยใช้พลังงานต่ำกว่าเดิม ซึ่งระบบ Inverterจะควบคุมการทำงานของคอมเพรสเซอร์ให้รักษาอุณหภูมิของห้องให้คงที่ เพื่อทำให้ห้องเย็นสบายอย่างต่อเนื่อง 

  1. ค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio)

ค่าประสิทธิภาพจากการคำนวณของ กฟผ. (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) ที่ใช้วัดความประหยัดพลังงานของเครื่องปรับอากาศชนิด Inverter หรือ Variable Speed การวัดประสิทธิภาพภายใต้อุณหภูมิภายนอกที่เปลี่ยนแปรตามฤดูกาลทำให้ประเมินได้แม่นยำมากขึ้น จำง่ายๆเลยครับ ค่า SEER ยิ่งสูงจะประหยัดพลังงานได้มากยิ่งขึ้น

  1. ค่า EER (Energy Efficiency Ratio)

คือค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศ มีหน่วยเป็น (Btu/hr./W) ค่า EER นั้นก็คืออัตราส่วนของความเย็นที่เครื่องปรับอากาศสามารถทำได้จริง เครื่องปรับอากาศที่มีค่า EER ยิ่งสูงก็แสดงว่า เครื่องปรับอากาศเครื่องนั้นยิ่งมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่ดียิ่งขึ้น

  1. แวคคั่ม (Vacuum)

การทำแวคคั่มแอร์จะทำให้การทำความเย็นของแอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการใช้ปั๊มดูดเอาอากาศและความชื้น ที่เป็นตัวการทำให้ระบบเครื่องทำความเย็นทำงานได้ไม่ดีออกให้หมด เพราะความชื้นนั้นก่อให้เกิดการควบแน่นกลายเป็นน้ำไปขัดขวางการเดินของน้ำยาแอร์และยังเกิดเป็นกรดไปกัดกร่อนท่อแอร์ได้อีกด้วย 

  1. ฟิลเตอร์ (Filter)

หรือเรียกอีกอย่างว่าแผ่นกรองฝุ่นที่อยู่ด้านในเครื่องปรับอากาศนั่นเอง มีหน้าที่ดักจับฝุ่นที่อยู่ในอากาศ ซึ่งหากมีการสะสมของฝุ่นจำนวนมากอาจผลเสียต่อร่างกายเรา และควรทำความสะอาดแผ่นฟิลเตอร์กรองเป็นประจำ อย่างน้อยทุกๆ 2สัปดาห์

  1. ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ติดดาว

ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 คือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานที่ได้มาตรฐานตามที่ กฟผ. และกระทรวงพลังงานกำหนด โดยฉลากประหยัดไฟจะมีระดับความประหยัดตั้งแต่เบอร์ 1 ถึงเบอร์ 5 ซึ่งคือระดับที่ประหยัดไฟมากที่สุด และดาวที่เพิ่มขึ้นมา คือเกณฑ์บอกประสิทธิภาพพลังงาน ที่จะแบ่งออกเป็น 6 ระดับคือ เบอร์ 5, เบอร์ 5 หนึ่งดาว, เบอร์ 5 สองดาว, เบอร์ 5 สามดาว สี่ดาว และห้าดาว โดยยิ่งดาวที่มากขึ้นหมายถึงความประหยัดที่มากกว่า แต่ละดาวที่เพิ่มขึ้นนั้นจะแสดงถึงความสามารถในการประหยัดค่าไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น